แบตเตอรี่รถยนต์ ความรู้ ค่า CCA แบตเตอรี่ หรื...
ReadyPlanet.com


ความรู้ ค่า CCA แบตเตอรี่ หรือค่า กำลังสตาร์ทของแบตเตอรี่


 ความรู้ ค่า CCA แบตเตอรี่  หรือค่า กำลังสตาร์ทของแบตเตอรี่

ในปัจจุบันนี้ พศ 2558 แบตเตอรี่รถยนต์ยี่ห้อต่างๆนั้นมีให้เลือกหลายรุ่นหลายขนาด เช่นยี่ห้อแบต  GS , 3K , PANASONIC  BOSCH , YAUSA , FB , BOLIDEN ..... และแบตเตอรี่แต่ละรุ่นนั้นก็จะมี มีกำลังไฟ (POWER) และแอมป์แปร์ที่ต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดและขนาดของแบตเตอรี่ แบตเตอรี่รถยนต์ปัจจุบันโดยทั่วๆไปจะมีให้เลือกอยู่3ชนิด  คือ 1.แบตน้ำ  กรด-ตะกั่ว   2.แบตกึ่งแห้งพร้อมใช้ MF และ 3. แบตแห้งพร้อมใช้ SMF  ซึ่งแบตเตอรี่รถยนต์แต่ละชนิดจะมีกำลังสตาร์ทของแบตหรือค่า CCA ที่ไม่เท่ากัน  ซึ่งค่าCCAนี้ผู้ใช้รถยนต์ทั่วไปจะไม่ค่อยสนใจมากนักเพราะอาจจะไม่เข้าใจว่ามันคือค่าอะไรมีผลอะไรต่อเครื่องยนต์  แต่ผู้ใช้รถยนต์หลายๆท่านก็คงเข้าใจและรู้จักดีว่า ค่า CCA หรือค่ากำลังสตาร์ทของแบต คืออะไร   ค่า CCA  ย่อมาจากคำว่า (Cool Cranking Ampere) ของแบตเตอรี่  หรือค่ากำลังสตาร์ทของแบตเตอรี่นั้นเอง

CCA (Cool Cranking Ampere) ค่านี้มีความสำคัญอย่างไร  ค่านี้เป็นค่าที่บอกถึงกำลังไฟสำหรับการสตาร์ทเครื่องยนต์นั้นเอง.....ถ้าค่าCCA นี้ลดลงไปถึงจุดจุดหนึ่ง ก็อาจทำให้กำลังไฟจากแบตเตอรี่ ลูกนั้นๆ ไม่พอสำหรับการสตาร์ทเครื่องยนต์ได้  ( แต่การสตาร์ทเครื่องยนต์ไม่ติดนั้นก็อาจจะเกิดจากปัจจัยอื่นๆประกอบด้วยเช่นกัน )  ค่า CCA ของแบตเตอรี่รถยนต์แต่ละรุ่น นั้น จะมีค่าไม่เท่ากัน  แบตเตอรี่ที่มี่แอมป์มากกว่า  ถ้ายี่ห้อเดียวกัน และชนิดเดียวกันจะมีค่า CCA  ก็จะมากกว่าแน่นอน  เช่น แบตเตอรี่รถยนต์ยี่ห้อ PANASONIC ชนิด MF  ขนาด35 แอมป์  และ45แอมป์
แบต
45แอมป์ก็จะมีค่า CCAที่มากกว่าแน่นอน

การเลือกซื้อแบตเตอรี่รถยนต์ถ้าเลือกใช้อย่างเหมาะสมก็จะสามารถยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้นานไปอีกพอสมควร

สาเหตุที่ทำให้แบตเสื่อมเร็ว
1. เลือกใช้แบตเตอรี่รถยนต์ไม่เหมาะสมกับรถ คือเลือกใช้แบตที่มีแอมป์น้อยไป  ( สามารถใช้ได้แต่ใช้ได้ไม่นานเพราะ กระแสไฟจากไดชาร์ท ชาร์ทกระแสเข้ามาที่แบต  เทียบสัดส่วนแล้ว เป็น OVER CHARGE....ผลจะทำให้แบตไฟเต็มเร็วไป  แบตจะร้อนเร็วและในที่สุด แบตก็จะบวมง่ายพังเร็ว
2.ไปดัดแปลงไดชาร์ทมาเพื่อให้ชาร์ทกระแสเข้าแบตได้เร็วขึ้น  ( โดยส่วนมากคนที่ชอบแต่งเครื่องเสียงรถยนต์ชอบทำกัน ) เหตุผลที่พังเร็วเพราะ สัดส่วนของกระแสในการชาร์ทแบตเป็น OVER CHARGE  ,และแบตจะมีการ CHARGE บ่อยครั้งและถี่ มากกว่ารถยนต์ปรกติเพราะมีการใช้พลังงานไปขับ POWER AMPS ที่อยู่ในรถ
3.จอดรถนานมากเกินไป จนทำให้แผ่นตะกั่วมีเขม่าตะกอนไปเกาะที่แผ่นธาตุ
4.ไดชาร์ป ชาร์ทไฟเข้าแบตตลอดเวลาขณะติดเครื่องยนต์  ไฟเข้าแบตเต็มแล้วแต่ไฟชาร์ปไม่หยุดชาร์ท สาเหตุคือวงจรอิเลคทรอนิกส์ตรวจสอบแรงดันไฟในระบบชาร์ทเสีย
5.มีอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถยนต์มากเกินไป ก็จะมีการชาร์ทไฟเข้าแบตบ่อยกว่าปรกติ



ผู้ตั้งกระทู้ Admin :: วันที่ลงประกาศ 2015-08-23 00:17:17


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (3498738)

บทความที่2...เกี่ยวกับค่า CCA ( COOL CRANKING AMPERE )
ค่า CCA คือค่าอะไร  ในแบตเตอรี่
ในการวัดค่าต่างๆในแบตเตอรี่นั้น โดยส่วนมากนั้นจะต้องการวัดเพื่อที่จะทราบ ว่าคุณภาพของแบตเตอรี่ที่ใช้อยู่ยังดีอยู่ไหม? แบตเตอรี่ยังสามารถเก็บไฟได้ดีอยู่ไหม? แบตเตอรี่จะ สามารถใช้ได้อีกนานไหม?.... และหนึ่งในค่าพารามิเตอร์ที่สำคัญของแบตเตอรี่ ที่ต้องการที่จะวัดในตัวแบตนั้นก็คือ ค่า CCA หรือค่ากำลังสตาร์ทของแบตเตอรี่ ซึ่งจะสามารถบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของแบตนั้นว่ายังดีอยู่ไหม

ค่า CCA ( Cool Cranking Ampere ) คือค่าที่บอก ปริมาณของกระแสไฟฟ้าของแบตแต่ละลูก ว่าจะสามารถออกปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมาได้ ในช่วงเวลา 30วินาที ณ.อุณหภูมิ 0องศาฟาเรนไฮต์ หรือ ที่-18องศา เซลเซียส  จนกว่าแรงดันในแบตจะตกลงไปเหลืออยู่ที่ 7.2 โวลล์ (กรณีที่วัดกับแบตรถยนต์12โวลล์ )

ตัวอย่างเช่น แบตเตอรี่รถยนต์ ยี่ห้อ BOSCH DIN100 SMF  มีค่า CCA ระบุไว้ที่ 800 CCA นั้นหมายความว่า  แบตBOSCH DIN100ลูกนี้ จะสามารถปล่อยกระแสออกมาได้ที่ 800แอมป์ เป็นระยะเวลา30วินาที ที่อุณหภูมิ 0องศาฟาเรนไฮต์ หรือ-18องศาเซีลเซียส


คำถามที่ควรรู้ ที่เกี่ยวข้องกับค่า CCA ของแบตเตอรี่
ถาม : ค่าCCAของแบตเตอรี่รถยนต์ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ไหม ?
ตอบ : ค่าCCAของแบตสามารถเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของแบตว่าเป็นอย่างไร   คือว่า แบตใหม่ๆค่าCCAก็จะสูงตาม SPEC ของแบต แต่พอใช้ไปนานๆ ค่า CCAของแบตเตอรี่ก็จะลดลงเสื่อมถอยไปตามกาลเวลา

การดูแลน้ำกลั่นไม่ให้พร่อง(กรณี่แบตเตอรี่แบบ กรด-ตะกั่ว ) จะสามารถชลอค่าCCA ของแบตเตอรี่ให้เสื่อมช้าลงได้ระดับหนึ่ง

การเลือกแบตที่มีขนาดแอมป์แปร์เหมาะสมกับการใช้งานก็จะสามารถชลอค่า CCA ของแบตเตอรี่เสื่อมช้าลงได้

กระแสจากระบบไดชาร์ทที่ชาร์ทประจุกระแสไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่ไม่ควร มากเกินไป เพราะจะทำให้แบตร้อนและเสื่อมง่าย

วงจรตรวจสอบแรงดันในระบบไดชาร์ทจะต้องทำงานปรกติ  คือถ้าชาร์แบตเต็ม ( 13.5v-14v )ก็ต้องไม่ชาร์ท จนกว่า VOLTของแบตจะตกลงถึงจุดที่จะต้องชาร์ท ( 11.5v-12v )

การเลือกแบตเตอรี่ที่มีแอมป์แปร์สูงกว่าที่มากับรถนั้น มีข้อดีมากมายหลายประการเช่น  
    1.แบตจะเสื่อมช้าลงเนื่องจาก อัตราการชาร์แบตจะเป็น  SLOW CHARGE มากขึ้น  
    2.แบตจะไม่ค่อยร้อนขณะกำลังชาร์ท และแผ่นธาตุจะไม่บวมง่าย 
    3.แบตจะสามารถเก็บประจุกระแสไฟฟ้าได้ดีขึ้น เนื่องจากประจุไฟฟ้าจะเรียงตัวแบบมีระเบียบมากขึ้น การจ่ายกระแสก็จะมีพลังสำรองมากขึ้น
    4.แบตที่มีแอมป์แปร์ มากกว่าในขนาดเท่ากัน จะมี POWER ( WATT ) มากกว่า คือ  Power = volt x amps
             เช่น POWER ของแบต ขนาด 60แอมป์ จะมีค่าเท่ากับ  60แอมป์x12โวลล์ = 720วัตต์
                   POWER ของแบต ขนาด75แอมป์  จะมีค่าเท่ากับ  75แอมป์x12โวลล์ = 900วัตต์
    5.แบตที่มีขนาดเดียวกับ แต่ SPEC สูงกว่าหรือมีแอมป์แปร์มากกว่าจะมีค่า CCA ( ค่ากำลังสตาร์ทสูงกว่าแน่นอน )
    6.แบตที่มีค่าCCAสูงกว่า จะได้เปรียบแบตที่มีค่า CCAน้อยกว่าแน่นอนคือ ..... อธิบาย... คือแบตเตอรี่รถยนต์ทุกลูกถ้าจอดไว้เฉยๆ จะมีการคายประจุโดยตัวแบตเอง หรือที่เรียกว่า( self discharge ) และถ้าจอดรถไว้นานๆการคายประจุในตัวเองของแบตก็จะทำให้ POWER ของแบตเตอรี่ และ ค่า CCA ของแบตนั้น น้อยลงตามไปด้วย เพราะค่า CCAนั้นจะแผผันตรงตามค่า POWERด้วย  และถ้าจอดรถนาน แบตเตอรี่จะ Self discharge จนกระทั้ง ค่า CCAเหลือไม่พอที่จะสตาร์ทรถ ก็จะไม่สามารถสตาร์ทรถได้
    7.เครื่องยนต์ขนาดเล็กจะต้องการค่า CCA ในการสตาร์ทรถน้อยกว่าเครื่องยนต์ที่มีขนาดใหญากว่าแน่นอน





ผู้แสดงความคิดเห็น ช.แบตเตอรี่ วันที่ตอบ 2015-08-23 06:53:06


ความคิดเห็นที่ 2 (4026927)
Pretty nice post. Thank you so much! Calvin Klein Belts http://www.ruishua.net/calvin-klein-belts-c-7/
ผู้แสดงความคิดเห็น Calvin Klein Belts (kerpfdrw-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2016-11-28 06:53:46


ความคิดเห็นที่ 3 (4027922)

ขอบคุณครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น Pisanu วันที่ตอบ 2016-12-08 10:01:35



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.