ศาสตราจารย์วิลสันกล่าวว่าการค้นพบนี้สอดคล้องกับการศึกษาในปี 1980 เกี่ยวกับผลกระทบของสงครามนิวเคลียร์ในนิวซีแลนด์ แม้ว่าความยืดหยุ่นของประเทศจะลดลงตั้งแต่นั้นมาเนื่องจากการพึ่งพาน้ำมันดีเซลนำเข้าและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเติบโตขึ้น "หมู่เกาะต่างๆ เช่น นิวซีแลนด์ มักต้องพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงเหลวบริสุทธิ์ อาจขาดแคลนพลังงานในตัวเอง และมีความอ่อนไหวต่อการพังทลายและการขาดแคลนสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญ ในขณะที่นิวซีแลนด์สามารถหันเหการส่งออกผลิตภัณฑ์นมในสัดส่วนที่สูงไปจัดหาในท้องถิ่น ตลาดขาดความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนทดแทนจำนวนมากสำหรับเครื่องจักรฟาร์มและแปรรูป อาหาร " ดร. บอยด์กล่าวว่าผลการวิจัยนี้ช่วยเสริมสถานะที่ไม่มั่นคงที่หลายประเทศจะพบว่าตัวเองอยู่ในระหว่างภัยพิบัติทั่วโลก "นิวซีแลนด์มีศักยภาพในการรักษาสังคมอุตสาหกรรมผ่านหายนะแบบนี้ แต่มันไม่ใช่ "ปลั๊กแอนด์เพลย์" การวางแผนเชิงกลยุทธ์ในปริมาณที่เหมาะสมจำเป็นต้องเกิดขึ้นและใช้เวลานาน แต่การวางแผนนี้จะ มีประโยชน์ในการจัดการกับความเสี่ยงที่หลากหลาย” ดร. บอยด์กล่าวว่า การค้นพบนี้แสดงให้เห็นว่ามีความจำเป็นในการวิเคราะห์ฤดูหนาวนิวเคลียร์และสถานการณ์การลดแสงแดดอย่างฉับพลันอื่นๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินความเสี่ยงระดับชาติที่ครอบคลุม "เราไม่ทราบถึงแผนใดๆ สำหรับภัยพิบัติระดับโลกในลักษณะนี้ รวมถึงการพิจารณาว่ามีการจัดลำดับความสำคัญสำหรับการปันส่วนหรือไม่ “ด้วยการคาดการณ์ว่ารัฐบาลจะเผยแพร่ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับแรกของนิวซีแลนด์ในปีนี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ความเสี่ยงจากภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่แสงแดดลดลงอย่างกะทันหันจะต้องไม่เล็ดลอดผ่านช่องโหว่”